เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๔ ก.ย. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ วันนี้วันพระ ถ้าวันพระในพระพุทธศาสนา วันโกน วันพระ เราจะดูแลหัวใจของเรา เวลาเราดูแลหัวใจของเรา เราเป็นชาวพุทธ เวลาชาวพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเป็นพระพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมมีพระธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม เป็นสงฆ์องค์แรกของโลก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นแก้วสารพัดนึก เป็นที่พึ่งที่อาศัยของเรา นี่พูดถึงที่พึ่งที่อาศัยของเรา เราเอาอะไรเป็นที่พึ่งเป็นที่อาศัย เอาหัวใจนี้เป็นที่พึ่งที่อาศัย เห็นไหม เราอยู่บ้านอยู่เรือนของเรา เรามีบ้านมีเรือนขึ้นมา เราเกิดจากพ่อจากแม่ พ่อแม่ของเรามีบ้านมีเรือนขึ้นมา พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก

นี่วันพระ ถ้าวันพระเป็นวันของคนดี คนดี วันพระ วันโกน เขาจะเข้าวัดเข้าวาของเขา เข้าวัดเข้าวาของเขาเพื่อดูแลรักษาไง อยู่บ้านๆ เราก็ดูแลพ่อแม่ของเรา คำว่า “ดูแลพ่อแม่ของเรา” คำว่า “ดูแล” ดูแลก็แค่ทักทาย แค่ทักทาย แค่มีปฏิสันถาร นี่แหละการดูแลของเรา

ถ้าเราอยู่บ้านอยู่เรือนของเรา เราดูแลพ่อแม่ของเรา เพราะพ่อแม่ของเรามีพระคุณต่อเรา มีพระคุณต่อเราเพราะอะไร เพราะคนเกิดมามีพ่อมีแม่เป็นแดนเกิด มีพ่อแม่เป็นแดนเกิด เราเกิดมาแล้ว พ่อแม่ของเราและทั้งเราด้วย เราก็มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของเรา ถ้าวันพระๆ ขึ้นมา วันพระ วันพระวันอุปัฏฐากดูแลหัวใจของเรา หัวใจของเรามันอยู่ที่ไหนล่ะ แล้วการจะอุปัฏฐากดูแลของเราก็เหมือนนักปฏิบัติใช่ไหม ถ้านักปฏิบัติของเรา เขากำหนดพุทโธ เขาใช้ลมหายใจเข้าออก เขาเพื่อหาหัวใจของเขา

แต่ถ้าเป็นฆราวาสญาติโยมนะ ถ้าพูดถึงเป็นฆราวาส ถ้าเป็นฆราวาสของเขา เขาจะดูแลหัวใจของเขา ถ้าดูแลหัวใจ หัวใจอยู่ไหน ถ้าหัวใจอยู่ไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนุปุพพิกถา ให้ฝึกหัดให้การเสียสละทาน ระดับของทานๆ ระดับของทานนะ ทานเพื่ออะไร ก็ทานเพื่อหัวใจดวงนี้ไง ถ้าหัวใจดวงนี้มีสติมีปัญญามันจะระลึกถึงชีวิต ชีวิตนี้มีปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าปัจจัยเครื่องอาศัย ชีวิตนี้มันได้มาเพราะเหตุใด ชีวิตได้มา ชีวิต ดูสิ จิตปฏิสนธิจิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เกิดในครรภ์ของมารดา เกิดในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ การกำเนิด ๔

คนที่เห็นภัยในวัฏสงสารท่านบวชท่านเรียนของท่าน ท่านบวชเรียนของท่านเป็นพระสงฆ์ แก้วสารพัดนึกของเรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระสงฆ์ สงฆ์นี้เป็นสมมุติสงฆ์ สมมุติสงฆ์ สงฆ์นี้บวชเพื่ออุปัชฌาย์อาจารย์ของเรา บวชจากอุปัชฌาย์ขึ้นมา เวลายกเข้าหมู่ๆ เป็นสงฆ์โดยสมมุติ เป็นสงฆ์โดยสมมุติ เขาก็แสวงหาของเขา เขาก็พยายามตะเกียกตะกายของเขาเพื่อหาความพึ่งพิงในหัวใจของเขา ถ้าหาความพึ่งพิงในหัวใจของเขา นี่พระปฏิบัติ พระปฏิบัตินะ เวลาพระบวชมาแล้วบวชเป็นพระบ้าน พระบ้านก็ศึกษาเล่าเรียนของเรา ถ้าพระบ้านเขาอยากปฏิบัติ เขาก็ต้องพยายามปฏิบัติของเขา

การศึกษาเล่าเรียนของเรา แล้วกิเลสมันครอบงำ กิเลสมันครอบงำ “มรรคผลนิพพานจะมีอยู่หรือไม่” ประพฤติปฏิบัติขึ้นไป เขาพูดเล่นพูดหยอกกัน พูดเล่นพูดหยอกกัน พูดเล่นพูดหยอกกันมาจากไหนล่ะ มันก็มาจากกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน

คนเราเกิดมา เกิดมาต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าเราจะหาหัวใจของเราๆ เครื่องพึ่งพาอาศัยของเรา เราแสวงหาของเราเพราะเราเป็นฆราวาส เราปากกัดตีนถีบหาเงินหาทองขึ้นมาเพื่อเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย เพื่อความมั่นคงของชีวิต แล้วความมั่นคงของชีวิตแล้วก็มีความทุกข์ความยากในใจของเรา ถ้าในใจของเรา ฝึกหัดๆ การเสียสละทาน เสียสละทานขึ้นมาให้มันเปิดกว้างไง ถ้าการฝึกเสียสละทาน ฝึกทานเพื่อหัวใจดวงนี้ ถ้าหัวใจดวงนี้มันเห็นคุณประโยชน์ของหัวใจดวงนี้ เห็นคุณประโยชน์ของหัวใจดวงนี้ หัวใจดวงนี้มันทุกข์มันยากขึ้นมา มันต้องการธรรมๆ

การเสียสละออกไปนี้เป็นธรรม เป็นธรรมเพราะมันภูมิใจ มันภูมิใจเป็นผู้ให้ นี่ระดับของทานๆ ไง ระดับของทานๆ เพื่อดูแลรักษาหัวใจของตน รักษาหัวใจของตนในระดับของฆราวาส ถ้าฆราวาสแล้วเขาเห็นทุกข์เห็นยากของเขา เขาอยากจะประพฤติปฏิบัติของเขา เห็นไหม ทำทานร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง มีศีลมีธรรมร้อยหนพันหนไม่เท่ากับเกิดสมาธิหนหนึ่ง มีสมาธิร้อยหนพันหนไม่เท่าเกิดคุณธรรมในหัวใจขึ้นมาหนหนึ่งคือภาวนามยปัญญา ถ้าภาวนามยปัญญา ถ้ามันมีบุญกุศล มันมีความมหัศจรรย์ มันมีคุณประโยชน์ขนาดนั้น ทำไมเราไม่ขวนขวายๆ

พอขวนขวายก็มาวัดมาวากัน มาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามาจะประพฤติปฏิบัติ ถ้ามันสดชื่น สดชื่นแจ่มใส มีสติมีปัญญาของตนก็จะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาด้วยความภูมิอกภูมิใจ เวลากิเลสมันครอบงำขึ้นมา มันเกิดเบื่อหน่าย เกิดท้อแท้ ความท้อแท้ ความเบื่อหน่ายของเราในใจของเรา ทำสิ่งใดก็จับจด หยิบโหย่ง ทำสิ่งใดมันก็ไม่ได้ผลของเรา ถ้าเรามีสติมีปัญญาของเรา เราตั้งใจของเรา สติปัญญา ถ้ามีสติปัญญา เราตั้งใจของเรา เรามาเดินทำไม เดินไปเดินมามันมีประโยชน์อะไรล่ะ

เดินไปเดินมา เขาเดินหาพุทโธ นี่ไง วันนี้วันพระๆ ไง เขาเดินหาหัวใจของตน ถ้าเดินหาหัวใจของตน กำหนดพุทโธ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้ามันสดชื่นแจ่มใส มันสดชื่นแจ่มใส มันทำสิ่งใดทำด้วยความภูมิอกภูมิใจ มันทำด้วยความตั้งใจ แต่ถ้ามันทำด้วยความท้อแท้อ่อนแอ ทำด้วยความเหน็ดเหนื่อย ทำด้วยความทดท้อ ทำอย่างนั้นมันก็สักแต่ว่าทำ ถ้าสักแต่ว่าทำ

ถ้ามีสติปัญญามันจะสดชื่น คำว่า “สดชื่นๆ” ของเรา สดชื่นมันมาจากไหนล่ะ สดชื่นกับเหนื่อยหน่ายมันมาจากไหนล่ะ มันก็มาจากจิตทั้งนั้นน่ะ ถ้าจิตที่มันอ่อนแอ จิตที่มันไม่มีกำลังของมัน มันก็ท้อแท้ไปอย่างนั้น ถ้าจิตที่มีสติปัญญาขึ้นมามันจะตื่นตัว พอตื่นตัวขึ้นมา เวลาเราทำบุญกุศล เราเสียสละไป คำว่า “เราเสียสละออกไป” เราเสียสละออกไป สิ่งที่ได้มา ได้มาคือคุณธรรม ได้มาคือความชื่นใจ ได้มาคือบุญกุศล เวลาเราหายใจเข้านึกพุท เวลาหายใจออกนึกโธ เราได้อะไรมา ถ้าเราได้อะไรมา ถ้ามีสติมีปัญญา มันได้ความรู้สึกอันนี้มา ความรู้สึกที่มันหดสั้นเข้ามา หดสั้นเข้ามาด้วยสติดูแลรักษาเข้ามา ถ้าดูแลรักษาเข้ามา

นี่ไง เวลาอยู่บ้านอยู่เรือนของเรา เราดูแลพ่อแม่ของเรา ปฏิสันถาร การทักการทายกัน การมีน้ำใจต่อกัน พ่อแม่ก็ชื่นใจ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราวันพระๆ เราจะค้นหาใจของเรา ถ้าใจของเรา ดูสิ พ่อแม่ของเราอยู่ในบ้านของเรา ที่บ้านของเราๆ เป็นที่อยู่ของพ่อแม่ของเรา หัวใจของเราๆ มันอยู่ในท่ามกลางหัวอก ในท่ามกลางหัวอกนี้ เห็นไหม เวลาท่ามกลางหัวอก ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาค้นคว้าหาใจของตน ถ้าค้นคว้าหาใจของตน บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ ทำลายกิเลสอวิชชาในใจนั้น ทำลายอวิชชาในใจนั้น แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเราก็มีแต่จินตนาการ มีแต่ความรู้สึกนึกคิดของเราออกไป ความรู้สึกนึกคิดออกไปมันก็เรียกว่าส่งออก นี่เวลาส่งออกๆ

เราจะเข้ามาในคูหาของใจเพื่อจะค้นหาใจของเรา แต่เวลามันจะมาภาวนาขึ้นมามันคิดร้อยแปด ส่งไปร้อยแปดเลย แล้วมันจะไปหาใจที่ไหนเจอ เพราะใจมันส่งไปอยู่ข้างนอกหมดเลย ถ้าเราพุทโธๆ ไม่ให้มันออกไปอยู่ข้างนอก ให้ระลึกรู้คำว่า “พุท” ให้ระลึกรู้คำว่า “โธ” อยู่ในใจนี้ ถ้าอยู่ในใจนี้มันก็เหนื่อยหน่ายเพราะอะไร พอเข้ามาถึงตัวเรา เราก็หาตัวเราไม่เจอ ถ้าหาตัวเราไม่เจอ ถ้าเรามีสติปัญญามากขึ้น เรารักษาดูแลของเราให้ดีขึ้น ถ้าดูแลดีขึ้น ถ้ามันสงบ สงบโดยที่มีสติปัญญาขึ้นมามันเห็นของมัน มันเห็นของมัน เพราะมันปล่อย มันมีความสุขไง ถ้าเห็นของมัน

ที่มันเหนื่อยหน่าย ที่มันท้อแท้ ที่มันแบกหามอยู่นี่ มันทุกข์ทั้งนั้นน่ะ เวลามันปล่อยวางๆ ขึ้นมา มันปล่อยวางขึ้นมา ถ้าปล่อยวางขึ้นมา สิ่งที่ว่าความละเอียดลึกซึ้ง ความละเอียดลึกซึ้ง ผู้ที่ค้นคว้าหาใจของตน ผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติไง ระดับของทาน ระดับของทานเป็นอามิส เป็นวัตถุที่จับต้อง เป็นการฝึกหัดๆ ของเรา แต่เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นนามธรรมทั้งหมด เป็นนามธรรมทั้งหมด

เดินไปเดินมา เดินไปเดินมาทำไม เดินไปเดินมา ดูสิ หลวงตาท่านสอนประจำ หมามันมี ๔ เท้า มันวิ่งทั้งวันเลย มันไม่หกล้มด้วย ของเรามี ๒ เท้า ของเรา ๒ เท้า แต่เราเป็นคน เราเป็นมนุษย์ เป็นผู้มีสมอง เป็นผู้ที่ประเสริฐ ดูสิ เวลาวันพระ วันโกน คนเราไปวัดไปวาของเรา ไอ้คนที่เขาไม่เชื่อถือ เขาเป็นชาวพุทธในทะเบียนบ้าน เขาก็บอกว่า “พวกนี้มีเวลาว่างมากเกินไป ดูสิ เขาไปทำ เรานี่มีความสุข เราอยู่บ้านอยู่เรือนของเรา”

นั่นน่ะเวลาเขาคิดอย่างนั้น เขาคิดของเขา คิดเห็นแก่ตัวของเขา เห็นแก่ตัวของเขา คิดโดยกิเลสของเขา คิดโดยกิเลสของเขามันก็แผดเผาในใจของเขา มันก็ทำลายโอกาสของเขา แต่เราคิดของเราๆ นี่ความคิดที่หยาบละเอียดมันแตกต่างกันอย่างนี้ คนที่คิดละเอียด ละเอียดตรงไหน ละเอียดที่มันเห็นความจริง มันเห็นสัจจะ คนเราเกิดมา ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วมันจะตายวันไหนก็ไม่รู้ แล้วเวลาตายไปแล้ว ดูสิ มันก็เหมือนปุยนุ่น มันก็ปลิวไปตามแต่แรงลมใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกัน เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราก็ปล่อยให้มันไปตามเวรตามกรรมใช่ไหม แต่ของเรา เรามีสติมีปัญญาของเรา เราไม่ใช่เป็นปุยนุ่น เราเหมือนภูเขา มันหนักแน่นยั่งยืน ถ้าหนักแน่นยั่งยืน มันหนักแน่นยั่งยืนที่ไหนล่ะ มันก็ที่หัวใจดวงนี้ไง หัวใจนี้ดวงนี้มันมีสติมีปัญญา มันจะรักษาของมันไง ถ้ารักษาของมัน เราเสียสละของเรา เราทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรา ภูเขา ภูเขาภูเรามันเป็นไปได้ไหม ถ้ามันเป็นไปได้ขึ้นมา เราเริ่มประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ความละเอียดๆ ไง

ทางโลกเขา เขาก็หาแต่ปัจจัยเครื่องอาศัย มันเป็นวัตถุที่จับต้องได้ ถ้าความจับต้องได้นะ แต่เวลาหัวใจของเราที่มันต้องการมันต้องการคุณธรรม ต้องการบุญกุศล ในหัวใจ สิ่งที่จะติดหัวใจนี้ไปคือบุญและบาปเท่านั้น บุญและบาปคืออะไร บุญก็คือการกระทำของเราไง บาปก็คือการกระทำของเราไง จิตดวงนี้เป็นคนกระทำทั้งนั้นน่ะ ความลับไม่มีในโลกหรอก ไอ้จิตดวงนี้มันรู้ จะทำสิ่งใดมันรู้ทั้งนั้นน่ะ ถ้าจิตมันไม่คิด มันทำไม่ได้หรอก สิ่งที่มันทำมาๆ ก็ทำออกมาจากจิตทั้งนั้นน่ะ มโนกรรมๆ มโนกรรมเกิดขึ้นมาเป็นจริตเป็นนิสัยทั้งนั้นน่ะ ถ้ามโนกรรมเกิดขึ้นมา

แต่ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา สิ่งข้างนอกมันจะอุดมสมบูรณ์ จะขาดแคลนขนาดไหน ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา มันพึ่งพาอาศัยกันได้นะ ดูสิ ดูพ่อแม่ขนมาให้ลูก ขนมาเท่าไรก็ขนมาได้ทั้งนั้นน่ะ แต่ความสุขความทุกข์ในหัวใจ เวลามันมีความทุกข์มา เราได้แต่ปลอบประโลมอยู่ข้างนอกทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าเขาฝึกหัดของเขา เขาควบคุมใจของเขา เขาเป็นคนดีในใจของเขา ในใจของเขา เขารักษาใจของเขาขึ้นมา นี่วันพระๆ วันพระเป็นผู้ประเสริฐ หัวใจนี้ประเสริฐมาก มีคุณค่ามาก หัวใจของคนมีคุณค่า

ดูหลวงตาท่านไปนะ เวลาท่านไปโครงการช่วยชาติ ท่านบอกว่า มาเอาใจของคน มาเอาใจของคน

ไอ้เราก็คิดว่าท่านไปโครงการช่วยชาติ ท่านจะไปเอาวัตถุไง วัตถุนี้มันสร้างชาติ วัตถุนี้เอามาสร้างชาติ ต่อลมหายใจของชาติ แต่หัวใจของคนๆ น่ะ หัวใจของคนมันภพชาติ สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ที่มานี่มาเอาใจของคนๆ ท่านเห็นความรู้สึก ท่านเห็นหัวใจยิ่งใหญ่นะ หัวใจของคนนี้มันยิ่งใหญ่มาก ถ้าหัวใจคนยิ่งใหญ่มาก หัวใจที่ยิ่งใหญ่

ดูสิ ลัทธิความเชื่อศาสนาใดเขาก็มีที่พึ่งที่อาศัยของเขา จิตใจมันทุกข์มันร้อน มันไม่มีที่พึ่งที่อาศัย เราเป็นชาวพุทธๆ เรามองไปทางลัทธิศาสนาอื่น เขาบังคับกัน เขาข่มขี่กันเพื่อให้นับถือศาสนา พระพุทธศาสนาให้อิสระทั้งนั้นเลย เสรีภาพๆ อิสรภาพ ให้คิดเอง แต่กิเลสๆ ไง เพราะกิเลสของเรา กิเลสมันก็เอาเปรียบหัวใจดวงนั้นอยู่แล้ว แล้วเราไปเห็นสังคม เห็นความเหลวแหลกขึ้นไป มันก็ไปเพ่งโทษเขา

ไอ้นั่นมันเรื่องของเขา ใจที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สงสารมันไหม ไอ้เราขึ้นมานี่มืดบอดทั้งนั้นน่ะ ทั้งๆ ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนามีวาสนามาก หลวงตาท่านพูดประจำ คนไม่มีอำนาจวาสนาไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ คนที่ได้นับถือศาสนาพุทธ คนนั้นมีอำนาจวาสนา แต่มันนับถือศาสนาพุทธแล้วมันพุทธแต่ทะเบียนบ้าน พุทธที่มันไม่ทำสิ่งใดให้เป็นประโยชน์กับใจของตนเองเลย ถ้าเป็นพุทธเป็นประโยชน์กับใจของตนเอง นี่เครื่องหมายของคนดี กตัญญูกตเวทีคนที่มีบุญมีคุณกับเราเป็นเครื่องหมายของคนดี แล้วถ้าเครื่องหมายของคนดี แล้วในบ้านของเรา เรามีน้ำใจต่อเขา

ธรรมดานะ ไม่ใช่เป็นการยัดเยียด ธรรมดา ในเมื่อเกิดในบ้าน ลิ้นกับฟันมันต้องมีกระทบกระทั่งกันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเป็นเรื่องธรรมดาขึ้นมา เวลาเกิดมาแล้ว ผลของวัฏฏะๆ ถ้ามันมีความผูกพันกันมา มันมีบุญกุศลกันมา มันจะมาส่งเสริมกัน อภิชาตบุตรๆ บุตรที่ดีกว่าพ่อกว่าแม่ไง แต่ถ้ามันมีเวรมีกรรมมา เราก็ใช้เวรใช้กรรมไป เพราะมันเป็นการกระทำของเราไง

นี่จะบอกว่ายัดเยียดไง ก็ในบ้านมันมีผลกระทบแล้วมันจะไปคุยกันได้อย่างไร มันจะลงได้อย่างไร

เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรนะ สิ่งใดที่เกิดขึ้น สิ่งใดที่เกิดขึ้นเราถือว่าสิ่งนั้นมันมีเวรมีกรรมต่อกันมา ถ้ามีเวรมีกรรมต่อกันมา ระงับด้วยการไม่จองเวรจองกรรม ให้เขา ยอมจำนนกับเขา ไม่ได้ยอมจำนนเพราะว่าเราไม่รู้ เรายอม คำว่า “ยอม” ไม่ใช่ยอมเพราะด้วยความเซ่อ ยอมด้วยเพราะเชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เชื่อแก้วสารพัดนึกไง

มันมีเวรมีกรรมต่อกัน พูดไม่เข้าใจหรอก จะพูดอย่างไรเขาก็ไม่มีเหตุผล เขาเข้าใจไม่ได้หรอก แต่ถ้าวันไหนนะ เรายอมจำนนให้เขาพอใจของเขา ถ้าเขาระลึกได้นะ เขาจะเสียใจของเขา แล้วเขาจะเปลี่ยนแปลงเขาตั้งแต่ตอนนั้น เขาจะเปลี่ยนแปลงของเขาได้ต่อเมื่อใจของเขาได้คิด ถ้าใจของเขามีสามัญสำนึกของเขา สำนึกอันนั้นๆ ไง ครูบาอาจารย์ของเราที่เทศนาว่าการก็ทิ่มเข้าไปที่นี่ไง

เวลาหลวงตาท่านไปทั่วประเทศ “ไปเอาใจของคน” ท่านบอกท่านไปเอาใจของคนนะ แต่เวลาคนเขามาเขาแสดงน้ำใจของเขา เขาเสียสละทานของเขา ทานนั้นก็เป็นประโยชน์กับโลก แต่จริงๆ แล้วต้องการให้จิตใจนั้นมันตื่นตัวขึ้นมา ต้องการให้จิตใจในร่างกายนั้นน่ะมันแช่มชื่นขึ้นมา ต้องการให้จิตใจนั้นมันมีจุดยืนขึ้นมา ให้มันมีสามัญสำนึก ให้มันระลึกถึงชีวิต อย่าตื่นเต้นไปกับโลกเขามากจนเกินไป

คำนี้ท่านเน้นย้ำตลอด อย่าตื่นเต้นกับโลกเขามากเกินไป โลกนี้เป็นสมมุติ มันเป็นอนิจจัง มันแปรสภาพตลอด มันก็เป็นแค่ฉาก แค่เอามาหลอกล่อเท่านั้นน่ะ เดี๋ยวเขาก็เปลี่ยนใหม่แล้ว ไปดูสิ ห้างสรรพสินค้าเขาจะเปลี่ยนหน้าร้านอยู่ตลอดเพื่อต้องการให้คนตื่น ไอ้พวกขี้ตื่นจะได้ไปซื้อๆ

อย่าตื่นเต้นไปกับโลกเขาจนเกินไปนัก ให้เห็นคุณค่ากับชีวิต จะใช้จ่ายจับสอยอย่างไรก็ได้ ทำอย่างไรก็ได้เพื่อดำรงชีวิต ไม่ต้องไปแข่งขันกับเขา ไม่ต้องไปทันโลกกับเขา แล้วดูแลพ่อแม่ในบ้านของเรา แล้วดูแลหัวใจของเรา แล้วดูแลชีวิตนี้ๆ

ชีวิตนี้ เห็นไหม ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เวลาพลัดพรากไปแล้วอย่าเสียใจภายหลังนะ เวลาพลัดพรากไปแล้ว เกิดเป็นมนุษย์มีโอกาสแล้วไม่ได้กระทำ เสียดายๆ ไปเสียดายต่อเมื่อโอกาสมันผ่านไปแล้วไง แต่โอกาสที่มันมีอยู่เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน วันนี้วันพระ วันพระ นักปฏิบัติต้องเข้มข้น นักปฏิบัติต้องเข้มแข็งแล้วพยายามของเรา พยายามของเรา ถ้ามันได้ก็สาธุ เป็นความเพียรของเรา แต่ถ้ามันทำแล้วถ้าจิตไม่ได้ จิตไม่ลง เราก็บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นโอกาสของเราไง โอกาสของเราที่ได้ประพฤติปฏิบัติ โอกาสของเราที่ได้บริหารจิตใจของเรา โอกาสของเราที่ได้ค้นคว้าหาจิตใจของเรา ค้นคว้าหาจิตใจของเรา เห็นไหม ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ถ้าสมควรแก่ธรรม เราทำเอง เราได้เอง

เวลาโลกเขา “อุทิศส่วนกุศลจะได้รับหรือไม่ ตายไปแล้วใครจะดูแลเราหรือเปล่า”

ถ้าเราทำของเราในปัจจุบันนี้ ถ้าจิตใจมันอิ่มเต็มแล้วมันน้ำล้นแก้ว ใส่อะไรเข้าไปอีกไม่ได้แล้ว แล้วเราเอาของเราไปเอง อิ่มหนำสำราญ พร้อมที่จะไปไหนก็ได้ พร้อมตลอดนะ หัวใจดวงนี้จะทำอะไร

พระพุทธศาสนาสอนที่นี่ สอนให้เรามีน้ำใจต่อกัน มีน้ำใจต่อกัน เสียสละเพื่อสังคม เพื่อให้มีความสุขต่อกัน ความสุขอันนั้นมันจะย้อนกลับมาเป็นบารมีของเรา ทุกคนนะ กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมหอมทวนลม เราทำดีกับเขา เขาจะประชดประชันนั่นเรื่องของเขา เรื่องของเขา ไม่เกี่ยว ของสิ่งนี้จะมาตัดทอนเจตนา ตัดทอนหัวใจเราไม่ได้ หัวใจของเรา เวลาทำของเราตลอดไป ใครจะมาประชดประชัน เรื่องของเขา เรื่องของเขา โลกธรรม ๘

เราทำของเรา ทำเพื่อประโยชน์กับเรา ประโยชน์กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในสัจธรรมๆ นะ สัจธรรมนี้ตรวจสอบได้ สัจธรรมนี้ กลิ่นของศีลหอมทวนลม ใครทำสิ่งใด ยิ่งคนดีๆ เขาตรวจสอบน่าดูเลย ไอ้คนไม่ดีเขาไม่สนใจนะ คนไหนดี ส่องกล้องเลยนะ นี่ก็เหมือนกัน เราทำดีๆ ของเรา เราดูแลของเรา เราทำหัวใจของเราเพื่อประโยชน์กับเรา วันนี้วันพระ ขวนขวายมา ขวนขวายมาเพื่อฟื้นฟูใจนี้ ขวนขวายมาให้หัวใจเรามันสดชื่น ขวนขวายมาให้จิตใจของเรามีจุดยืนเพื่อประโยชน์กับใจดวงนี้ เอวัง